ถือเป็นเกมสำคัญสำหรับทั้ง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องโคจรมาพบกันในศึกแดงเดือด ซึ่งแน่นอนด้วยการที่มันเป็นในช่วงโค้งสุดท้ายทำให้เกมนี้จะส่งผลต่อเป้าหมายของทั้งสองทีมอย่างชัดเจน เราลองไปดูกัน
1. เป็นเกมที่มีความหมายกับทั้งสองทีม
ช่วงท้ายฤดูาลแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เราจะเริ่มเห็นเค้าโครงหน้าตาของความสำเร็จในปีนั้น ๆ ของแต่ละทีม ซึ่งก็ดันบังเอิญว่า ณ เวลานี้ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงมีเป้าหมายที่ต้องการจะบรรลุให้ได้หลังจบฤดูกาล
ด้าน หงส์แดง แน่นอนว่าพวกเขากำลังลุ้นกดดัน แมนฯ ซิตี้ อย่างหนักเพื่อหวังชิงตำแหน่งจ่าฝูง ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็กำลังฉวยโอกาสที่คู่แข่งอย่าง สเปอร์ส และ อาร์เซนอล เพลี่ยงพล้ำโกยแต้มเพื่อหวังยึดอันดับที่ 4 หลังจบฤดูกาล จึงทำให้ 3 คะแนนในเกมนี้จะมีความหมายมากสำหรับทั่งคู่ และนั่นหมายความว่าพวกเขาจะเล่นใหญ่ใส่เต็มเพื่อชัยชนะในคืนวันอังคารนี้อย่างแน่นอน
2. แรงผลักดันของ ปีศาจแดง
ก่อนหน้านี้ต้องบอกเลยว่าฟอร์มของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยจริง ๆ ซึ่งก็หนักไปทางด้านลบเสียเป็นส่วนใหญ่ทั้งที่พวกเขายังมีโอกาสลุ้นอันดับที่ 4 อยู่ก็ตาม กระทั่งชัยชนะเหนือ นอริช ซิตี้ ทีมบ๊วยแบบหืดจับ 3-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาทำให้ดูเหมือนว่าไฟแห่งความหวังของพวกเขาดูจะถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง
เนื่องจากทั้ง สเปอร์ส และ อาร์เซนอล ต่างนัดกับแพ้จน ปีศาจแดง ไล่จี้ขึ้นมาติด ๆ แล้วนั่นเอง ซึ่งแฟน ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็คงหวังลึก ๆ ว่าทีมของพวกเขาจะใช้โอกาสที่อยู่แค่เอื้อมนี้สร้างแรงผลักดันให้พวกเขาทำผลงานได้ดีในเกม “แดงเดือด” ครั้งนี้
3. รังนิค รู้วิธีรับมือ คล็อปป์ ?
สถิติที่น่าสนใจสุด ๆ ก่อนเกมนี้คือการพบกัน 13 เกมระหว่างสองกุนซืออย่าง ราล์ฟ รังนิค และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ปรากฎว่านายใหญ่ ลิเวอร์พูล เอาชนะไปได้เพียง 2 เกมเท่านั้นในขณะที่ รังนิค ชนะไปถึง 6 และเสมออีก 5 นัดด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นใน บุนเดสลีกา ตั้งแต่ปี 2001 จนถึงปี 2011 สมัยที่ คล็อปป์ คุม ไมนซ์ และ ดอร์ทมุนด์
ส่วนกุนซือ ปีศาจแดง เคยคุม ฮันโนเวอร์ ฮอฟเฟนไฮม์ และ ชาลเก้ ขนาดที่ว่าในยุคทองของ เสือเหลือง JK เองก็เคยเอาชนะ รังนิค ที่คุมทีมรองบ่อนกว่าได้เพียงเกมเดียวจากการพบกันทั้งหมด 6 เกม หรือว่า ราล์ฟ รังนิค จะมีสูตรลับในการรับมือกับ เยอร์เก้น คล็อปป์ กันแน่ ? ก็คงต้องมาลุ้นกันว่าหลังผ่านมาแล้ว 10 ปีวิธีการดังกล่าวจะยังคงได้ผลหรือไม่ในเกมวันอังคารนี้
4. แมนยู ต้องมีทีเด็ดมากกว่า โรนัลโด้
แม้ว่าเกมกับ นอริช ซิตี้ ที่ผ่านมา คริสเตียโน โรนัลโด้ จะคืนฟอร์มเก่งกดแฮททริกพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า 3 คะแนนไปได้อย่างหวุดหวิดจนแฟน ๆ ปีศาจแดง หลายคนยังคงเชื่อว่า “พี่โด้” สามารถเป็นไม้เด็ดให้ทีมได้แม้อายุจะปาเข้าไป 37 ปีแล้วก็ตาม
แต่ต้องบอกเลยว่าการพบกับ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั่วโมงมันจะแตกต่างกับการพบบ๊วยอย่าง นอริช แน่นอน ซึ่งหาก ราล์ฟ รังนิค ยังหวังพึ่งจะให้ โรนัลโด้ งั้นฟอร์มเทพพาทีมคว้า 3 คะแนนออกจาก แอนฟิลด์ คงเป็นไปได้ยากเสียหน่อย เพราะที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหาก “โด้” ไม่ได้บอลในพื้นที่อันตรายเขาก็แทบไม่ต่างจากนักเตะธรรมดา ๆ จะเห็นได้ชัดหากไปเทียบกับทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ระบบการเล่นดีกว่าชัดเจนมีแนวทางการเล่นอันหลากหลาย
แถมยังสามารถตัดสินใจแก้เกมได้อย่างตรงจุดและเฉียบขาด การจะหวังให้ โรนัลโด้ ในวัยเกือบ 40 แผลงฤทธิ์แบกทีมอยู่คนเดียวคงไม่เพียงพออย่างแน่นอน ฉนั้นพวกเขาต้องมีอะไรมากกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นแผนการรับมือ วิธีการแก้เกม หรือแม้แต่ความกระหายของทั้ง 11 คนในสนามที่เราอาจจะไม่ได้เห็นมานานจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ช่วงหลัง
5. ซาลาห์ ยังออกทะเล
แม้ผลงานในภาพรวมของ ลิเวอร์พูล ยังถือว่ายอดเยี่ยม ณ เวลานี้ แต่หนึ่งในจุดที่เห็นได้ชัดว่าเริ่มแผ่วลงไปนั่นคือฟอร์มการเล่นของตัวความหวังอย่าง โม ซาลาห์ ฮีโร่ผู้ซัดแฮททริกพา หงส์แดง บุกอัด ปีศาจแดง ได้ถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในนัดแรก 0-5
ที่ ณ เวลานี้ความร้อนแรงดูจะหดหายไปซึ่งก็มีความเป็นได้จากหลายปัจจัยตั้งแต่สภาพร่างการที่เริ่มอ่อนล้าจากการต้องกร่ำศึกหนักแถมยังเป็นตัวหลักให้ทีมมาตั้งแต่ต้นฤดูกาลซึ่งพวกเขาก็ดันผลงานได้ดีจนเข้ารอบลึกทุกรายการจนทำให้มีเกมที่ต้องลงเล่นมากกว่าชาวบ้านเขา หรือแม้ปัจจัยด้านสถาพจิตใจที่สื่อท้องถิ่นเริ่มซุบซิบกันว่า บังโม เริ่มฟอร์มตกหลังจากความผิดหวังที่พลาดโอกาสพา อิยิปต์ ไปบอลโลกซึ่งอาจเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้วก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสาวก เดอะ ค็อป จะไม่กังวลอะไรมากนักเพราะ ณ เวลานี้ตัวรุกทุกคนของพวกเขาต่างพากันคืนฟอร์มเก่งท้ัง โจต้า มาเน ฟิร์มิโน หรือแม้แต่ ดิอาซ ที่เพิ่งจะย้ายมาใหม่ ซึ่งสามารถทดแทนฟอร์มที่หดหายไปของ ซาลาห์ ได้แบบเนียนสนิทตลอดเวลาที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้