ถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการกีฬาเมื่อการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน 2022 ตัดสินใจแบนนักกีฬาจากประเทศรัสเซียและเบลารุส เพื่อเป็นการตอบโต้การรุกรานประเทศยูเครนของทั้งสองชาติ
การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความคิดเห็นมากมายทั่วโลกกีฬา บางคนมองว่าการลงโทษครั้งนี้ไม่เป็นธรรมต่อนักกีฬาที่ลงแข่งขันในนามบุคคล ส่วนบางฝ่ายมองว่านี่เป็นการกระทำที่จะช่วยกดดันให้ความโหดร้ายในยุโรปตะวันออกจบลงโดยเร็วที่สุด
เล่าเรื่องราวที่วิมเบิลดันตัดสิทธิ์นักเทนนิสรัสเซียและเบลารุสจนสมาคมเทนนิสต่อต้าน กับการถกเถียงที่ลามไปถึงหลักพื้นฐานของสังคมมนุษย์ ถึงความสำคัญของสิทธิส่วนบุคคลและการเสียสละตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
การลงโทษและเสียงต่อต้านจากคนในวงการ
ย้อนกลับไปยังวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ฝ่ายจัดการแข่งขันรายการเทนนิสวิมเบิลดัน 2022 ได้ออกแถลงการณ์ถึงการตัดสิทธิ์ผู้เข้าแข่งขันจากประเทศรัสเซียและเบลารุส สองประเทศที่ร่วมมือและมีส่วนในการรุกรานประเทศยูเครน โดยการลงโทษครั้งนี้ถูกมองเป็นหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรที่นานาชาติใช้ตอบโต้สองประเทศจากยุโรปตะวันออก
การลงโทษแบนครั้งนี้ของวิมเบิลดันเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนจนหลายฝ่ายตกใจ เพราะฝ่ายจัดการแข่งขันยืนยันว่า ถึงนักกีฬาชาวรัสเซียและเบลารุสคนใดจะเคยต่อต้านหรือประณามการรุกรานยูเครนของรัฐบาล พวกเขาจะไม่ได้รับข้อยกเว้น และถูกตัดสิทธิ์จากรายการไม่ต่างจากฝ่ายสนับสนุนหรือผู้ที่เงียบเฉย
การลงโทษครั้งนี้ส่งผลให้นักเทนนิสฝีมือดีหลายคนต้องหายไปจากการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น ดานิล เมดเวเดฟ ผู้เล่นชาวรัสเซีย เจ้าของตำแหน่งมือวางอันดับสองของโลก แชมป์ ยูเอส โอเพ่น 2021, อังเดรย์ รูเบลฟ ผู้เล่นชาวรัสเซีย เจ้าของตำแหน่งมือวางอันดับแปดของโลก, อารีนา ซาบาเลนกา ผู้เล่นหญิงชาวเบลารุส เจ้าของตำแหน่งมือวางอันดับสองของโลก และ วิคตอเรีย อซาเรนกา ผู้เล่นหญิงชาวเบลารุส เจ้าของตำแหน่งมือวางอันดับสิบแปดของโลก รวมถึงแชมป์ ออสเตรเลียน โอเพ่น 2 สมัย ทั้งหมดต่างถูกแบนจากวิมเบิลดัน 2022
ทันทีที่การตัดสินใจของวิมเบิลดันออกสู่สาธารณะ ผู้คนต่างแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนหนึ่งออกมาต่อต้านการลงโทษแบนของวิมเบิลดันอย่างชัดเจน โดยหัวหอกฝ่ายต่อต้านไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก สมาคมนักเทนนิสอาชีพ ผู้ดูแลการแข่งขันเทนนิสอาชีพฝ่ายชาย ซึ่งโจมตีว่าการกระทำครั้งนี้เป็นเรื่อง “ไม่ยุติธรรม” พร้อมกับชี้แจงว่า นักกีฬาเหล่านี้ลงแข่งขันในนามบุคคล จึงไม่ควรตกเป็นเหยื่อในการรับผิดชอบต่อการกระทำของรัฐบาลแต่ละชาติ
โนวัค ยอโควิช ผู้เล่นมือวางอันดับหนึ่งของโลก ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่ออกมาโจมตีการตัดสินใจของวิมเบิลดันอย่างเปิดเผย โดยกล่าวการลงโทษแบนครั้งนี้เป็นที่ “บ้าคลั่ง” โดยนักเทนนิสชาวเซอร์เบียได้พูดถึงประสบการณ์ในวัยเด็กที่ประเทศของตนถูกรุกรานโดยองค์การนาโต้ (NATO) หลังกองกำลังจากฝั่งตะวันตกเดินทางเข้ามาหยุดยั้งการกวาดล้างชาวมุสลิมแอลเบเนียในเขตโคโซโว
“ผมประณามสงครามเสมอ และผมจะไม่มีวันสนับสนุนสงคราม เพราะผมเองเป็นเหยื่อของสงครามเช่นกัน ผมรู้ดีว่ามันสร้างบาดแผลให้กับความรู้สึกของคุณแค่ไหน ชาวเซอร์เบียรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศของเราในปี 1999 และในเขตคาบสมุทรบอลข่านก็มีสงครามเกิดขึ้นมากมาย”
“อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถเห็นด้วยกับการตัดสินใจของวิมเบิลดัน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่บ้าคลั่ง เพราะเมื่อไหร่ที่การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับกีฬา ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เคยเป็นเรื่องดี”
มาร์ตินา นาฟราติโลวา อดีตนักเทนนิสชาวเชโกสโลวาเกียที่เคยผ่านประสบการณ์ลี้ภัยจากบ้านเกิดในช่วงสงครามเย็น ถือเป็นอีกคนที่ออกมาต่อต้านการลงโทษครั้งนี้ โดยเธอแสดงถึงความผิดหวังต่อการตัดสินใจของวิมเบิลดัน และต่อต้านการปล่อยให้การเมืองเข้ามามีบทบาทต่อวงการกีฬา เพราะนี่เป็นการกระทำที่ปราศจากความยุติธรรม และไม่มีประโยชน์ใดทั้งสิ้น
“ผู้เล่นชาวรัสเซียและเบลารุสบางคนออกมาแสดงออก และแสดงจุดยืนต่อต้านสงครามที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ทางออกเดียวสำหรับพวกเขาหากอยากลงเล่นในวิมเบิลดัน คือการหันหลังให้กับประเทศของตน”
“มันเป็นสิ่งเดียวกันกับที่ฉันเคยทำในปี 1975 เนื่องจากต้องการไปให้พ้นจากรัฐบาลเผด็จการ และตอนนี้เรากำลังขอให้พวกเขาลงมือทำแบบเดียวกันกับฉัน เพราะปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ฉันเข้าใจดีหากคุณจะแบนนักีฬาในลักษณะทีมที่เป็นตัวแทนของชาติ แต่การแบนนักกีฬารายบุคคล ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้อง”
ไม่ว่าใครจะวิจารณ์อย่างไร วิมเบิลดันยังคงยึดมั่นในจุดยืนของตน เนื่องจากโทษแบนครั้งนี้เป็นการตัดสินใจโดยเอกฉันท์ของสโมสรเทนนิสทั้งหมดในอังกฤษ ทั้งยังยอมรับถึงการปล่อยให้อิทธพลทางการเมืองเข้ามามีส่วนกับการตัดสินใจ โดยวิมเบิลดันแจ้งอย่างชัดเจนว่า การลงโทษครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลอังกฤษ ที่ต้องการจำกัดอิทธิพลของรัสเซียให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการใดก็ตาม
เหมาะสมหรือไม่ ถูกต้องมากแค่ไหน
การสั่งแบนนักกีฬารัสเซียและเบลารุสเพื่อตอบโต้การกระทำของรัฐบาลของสองชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการกีฬา เพราะก่อนหน้านี้ สององค์กรใหญ่ในวงการฟุตบอล อย่าง ได้ตัดสิทธิ์การแข่งขันของทีมจากรัสเซียทั้งหมด
ส่วนคณะกรรมการพาราลิมปิกสากลได้แบนนักกีฬาชาวรัสเซียและเบลารุส จากการแข่งขันพาราลิมปิกในกรุงปักกิ่งที่ผ่านมา และ บอสตัน มาราธอน รายการวิ่งมาราธอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ไม่อนุญาตให้ผู้อาศัยในประเทศรัสเซียและเบลารุสมีส่วนร่วมกับรายการเช่นกัน การปฏิเสธไม่ให้การเมืองเข้ามามีอิทธิพลในวงการกีฬาจึงเหมือนกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายต่อต้านการลงโทษแบนของวิมเบิลดัน มักชูประเด็นเดียวกันออกมาตอบโต้ นั่นคือ การแข่งขันกีฬาอย่างโอลิมปิกหรือฟุตบอลโลก เป็นการแข่งขันในนามทีมชาติรัสเซีย การลงโทษแบนนักกีฬารัสเซียและเบลารุสในรายการเหล่านั้นจึงยังพอเข้าใจได้ เนื่องจากพวกเขารับบทบาทตัวแทนของชาติโดยตรง
แต่การลงโทษนักกีฬารายบุคคลเพียงเพราะพวกเขาเกิดและเติบโตในรัสเซียหรือเบลารุส ถือเป็นการกระทำที่ปราศจากความคิด และโหดร้ายกับนักกีฬาที่ส่วนต่อการตัดสินใจของรัฐบาลเพียงน้อยนิด พวกเขาเหล่านี้แทบไม่มีส่วนต่อการตัดสินใจหรือสนับสนุนให้รุกรานยูเครน แล้วเหตุใดจึงต้องตกเป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น
มีคำถามมากมายเกิดขึ้นเกี่ยวกับความเหมาะสมที่นักเทนนิสเหล่านี้ถูกลงโทษโดยวิมเบิลดัน เพียงเพราะพวกเขาถือสัญชาติเดียวกับผู้นำประเทศที่กระหายอำนาจ ? ซึ่งฝ่ายที่ต่อต้านการลงโทษของวิมเบิลดันจะแสดงความเห็นแบบที่กล่าวไปข้างต้น แต่ฝ่ายที่มองว่าวิมเบิลดันไม่ผิด และมีสิทธิ์ที่จะแบนนักกีฬาชาวรัสเซียและเบลารุส มีแนวคิดที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน
กลุ่มคนที่สนับสนุนโทษแบนของวิมเบิลดันมองว่า การมัวแต่แสดงความกังวลในเรื่องส่วนตัวของนักกีฬาจะทำให้ประเด็นและใจความสำคัญของการลงโทษครั้งนี้จางหายไป เพราะความสำคัญที่ประชาคมโลกต้องทำในตอนนี้คือ การใช้พลังของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น อำนาจทางการเมือง, อำนาจทางสังคม, อำนาจทางเศรษฐกิจ หรือ อำนาจทางกีฬา กดดันผู้มีอำนาจในรัฐบาลรัสเซียให้ถอนทหารจากยูเครนในเร็ววัน
การแบนหรือการคว่ำบาตรคือวิธีทางที่ดีที่สุดในการกำจัดไม่ให้รัสเซียเลือกใช้กีฬาเป็นช่องทางแสดงอิทธิพลบนเวทีโลก เนื่องจากการแข่งขันกีฬามีความเกี่ยวข้องกับสังคมและการเมืองระดับชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะรายการใหญ่อย่างวิมเบิลดัน ชัยชนะของนักกีฬาสามารถถูกแปรเปลี่ยนเป็นโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อส่งเสริมอำนาจเผด็จการและการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ
ฝ่ายสนับสนุนโทษแบนของวิมเบิลดันจะมองว่า นักกีฬาย่อมต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะพลาดการลงแข่งขันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น อาการบาดเจ็บ หรือ อาการป่วยเล็กน้อย ไปจนถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การก่อการร้าย หรือ การถูกคว่ำบาตรทางการเมือง
และหากเทียบสิ่งที่นักเทนนิสชาวรัสเซียและเบลารุสต้องเสียไปในการถูกแบนจากวิมเบิลดัน กับความโหดร้ายทั้งหมดที่ชาวยูเครนต้องพบเจอ มันเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก
หลายฝ่ายเชื่อว่าการตัดสินนักกีฬาทั้งสองชาติอย่างเด็ดขาด มีพลังมากพอจะกดดันรัฐบาลของรัสเซียและเบลารุสอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยที่สุด นี่ก็เป็นการตัดสินใจทางศีลธรรมที่ถูกต้อง เพื่อผลักดันให้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในประเทศยูเครน ดังนั้นแล้ว การโจมตีว่าการตัดสินใจของวิมเบิลดันเป็นเรื่องที่ผิด จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเท่าใดนัก
สิทธิส่วนบุคคล หรือ ประโยชน์ส่วนรวม
จุดยืนของฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านการลงโทษของวิมเบิลดัน ยังนำมาสู่การถกเถียงแนวคิดพื้นฐานของสังคมโลกระหว่าง “สิทธิส่วนบุคคล” และ “ประโยชน์เพื่อส่วนรวม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่ตรงข้ามกันโดยธรรมชาติ และเป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า ควรจะเทน้ำหนักไปยังฝั่งไหนมากกว่ากัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การสนับสนุนสิทธิส่วนบุคคลมากกว่าสิทธิส่วนรวม ถือเป็นแนวคิดที่ผู้คนโดยทั่วไปในสังคมปัจจุบันชื่นชอบมากกว่า เนื่องจากโลกของเราอยู่ภายใตอิทธิพลของแนวคิดเสรีนิยมที่ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อบวกกับประโยคดังของ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ที่ยกระดับลัทธิเสรีนิยมไปอีกขั้น ยิ่งให้ความสำคัญของประโยชน์เพื่อส่วนรวมน้อยลงไปด้วย
“โลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสังคมอยู่จริง มีเพียงเพศชายและเพศหญิงอันเป็นปัจเจกบุคคล และนอกเหนือจากนั้นคือครอบครัว” อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคอนุรักษ์นิยม กล่าวไว้เมื่อปี 1987
ฝ่ายสนับสนุนสิทธิส่วนบุคคลจะเชื่อว่า สิทธิ์ของนักกีฬาที่จะได้ลงเล่นวิมเบิลดันมีคุณค่ามากกว่าการที่พวกเขาถูกใช้งานเป็นส่วนหนึ่งของการคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้โทษแบนของวิมเบิลดันจะมีส่วนช่วยในการปกป้องอำนาจอธิปไตย และช่วยเหลือชีวิตของชาวยูเครนจริง แต่การตัดสินใจจะมีส่วนรวมกับการแสดงออกนี้หรือไม่ ย่อมเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล เนื่องจากมนุษย์ไม่เคยถูกผูกติดกับส่วนรวม และการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจะเกิดขึ้นไม่ได้
แท้จริงแล้ว แนวคิดสนับสนุนสิทธิส่วนบุคคลสามารถใช้เป็นข้อสนับสนุนให้กับการลงโทษของวิมเบิลดันเช่นเดียวกับการโต้แย้ง เนื่องจากสิทธิส่วนบุคคลแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สิทธิเชิงลบ นั่นคือสิทธิ์จะแสดงออก กระทำการ หรือครอบครองสิ่งใดโดยเสรี ซึ่งสิทธิแง่ลบนี้จะสนับสนุนฝ่ายต่อต้านการลงโทษของวิมเบิลดัน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงสิทธิเชิงบวก หรือ สิทธิที่มนุษย์ทุกคนจะได้เข้าถึงการมีชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน การลงโทษแบนนักเทนนิสชาวรัสเซียและเบลารุส จึงเป็นไปเพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนชาวยูเครน เพราะเป็นสิทธิ์ที่พวกเขาจะไม่ต้องถูกฆ่าหรือถูกทำลายบ้านเมืองด้วยน้ำมือทหารรัสเซีย
บางคนไม่เห็นด้วยกับการนำแนวคิดสิทธิส่วนบุคคลมาใช้ในปกป้องนักเทนนิสที่ถูกแบนจากวิมเบิลดัน เพราะถ้ายึดมั่นกับแนวคิดดังกล่าวจริง การคว่ำบาตรรัสเซียทั้งหมดไม่ควรเกิดขึ้น เพราะผู้คนหลายล้านชีวิตได้รับผลกระทบจากการบอยคอตโดยประชาคมโลก หากนักกีฬาไม่ควรมีส่วนในการรับผิดชอบการกระทำของรัฐบาล ประชาชนอาชีพอื่นก็ไม่ควรเช่นเดียวกัน
แอนนา สติลส์ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน จากประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การตั้งคำถามว่าประชาชนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของรัฐหรือไม่ ? ไม่ใช่การตั้งคำถามที่ถูกต้อง แต่คำถามแท้จริงควรเป็น หากประชาชนไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมใดที่เกิดขึ้นโดยรัฐโดยเด็ดขาด สิ่งใดจะเกิดขึ้น ?
เรื่องเลวร้ายมากมาย คือคำตอบของผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและคุณค่าของมนุษย์ สติลส์ สนับสนุนให้ผู้คนในสังคมอเมริกันใส่ใจเรื่องส่วนรวมมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เธอเคยออกบทความเมื่อปี 2011 อันมีชื่อเรื่องว่า “การรับผิดชอบเพื่อส่วนรวมและรัฐ”
เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนสนใจกับการเสียสละสิทธิส่วนบุคคลเพื่อส่วนรวมมากขึ้น ซึ่งเธอเชื่อว่าจะเป็นแนวทางในการรักษาความเป็นประชาธิปไตย และต่อสู้กับรัฐที่ไม่เป็นประชาธิปไตยได้
“หากโลกของเราจบลงด้วยการไม่สามารถแจกจ่ายความรับชอบต่อการกระทำของรัฐต่อสมาชิกในรัฐได้ เช่นนั้นโลกของเราคงอยู่ในอันตรายที่จะมีการสร้างแรงจูงใจอันวิปริต รัฐจะมีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องซักฟอกความรับผิดชอบ เพราะประชาชนมีสิทธิ์จะแยกตัวออกจากความรับผิดชอบใดต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้น”
“การรักษาไว้ถึงความรับผิดชอบบางอย่างที่แต่ละบุคคลมีต่อการกระทำของรัฐ คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเกิดแรงจูงใจในการแสดงเจตจำนงทางการเมือง และจำกัดการกระทำที่อันตรายของรัฐ ผ่านการไม่เห็นด้วยและการไม่เชื่อฟัง”
ความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้คือ การประกอบอาชีพเป็นนักเทนนิสไม่ได้ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากการเป้นประชาชนชาวรัสเซียและชาวเบลารุส ดังนั้นแล้ว การที่พวกเขาต้องเสียสละสิทธิส่วนบุคคลบางอย่าง เพื่อเป็นการรับผิดชอบส่วนรวมในฐานะพลเมืองรัสเซีย ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการแสดงความเห็นรายบุคคล ไม่ว่าจะเป็น การนิ่งเงียบ, ยกมือสนับสนุน หรือแสดงจุดยืนต่อต้านการรุกรานยูเครน ไม่เพียงพอต่อการหยุดยั้งสงครามที่กำลังเกิดขึ้น
ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ไม่ได้อยู่แค่ในสนามเทนนิสบนประเทศอังกฤษ แต่อยู่บนแผ่นดินยูเครน เมื่อผู้คนจำนวนมากมายต้องเสียชีวิตโดยมีกระสุนปืนฝังตามร่างกาย เพียงเพราะพวกเขาเกิดเป็นชาวรัสเซีย มันคือความอยุติธรรมในลักษณะเดียวกันแบบที่นักเทนนิสชาวรัสเซียและเบลารุสต้องเจอ แต่สิ่งที่พวกเขาเสียไปไม่ใช่โอกาสในการประกอบอาชีพ แต่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ ชีวิต
การสั่งแบนนักเทนนิสชาวรัสเซียและเบลารุสของวิมเบิลดัน สามารถถูกโต้แย้งได้ว่าไม่ยุติธรรมต่อนักกีฬาเหล่านี้ และสามารถถูกโจมตีว่าเป็นการนำการเมืองมาปนกับกีฬาจนดูเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องผิดเลยหากใครจะคิดแบบนั้น
แต่ขณะเดียวกัน มันเป็นดูเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะสิ่งที่นักเทนนิสเหล่านี้สูญเสีย เทียบไม่ได้เลยต่อการแสดงจุดยืนต่อต้านความไร้มนุษยธรรมของรัสเซีย และช่วยเหลือชีวิตของชาวยูเครนให้ดีขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี