UFABETWINS โลกแห่งวงการมวยมีการพลิกล็อกมากมายหลายไฟต์ แต่ไฟต์ที่พลิกล็อกหักปากกาเซียน
จนทำให้ “เซียนอยู่รู หมูอยู่ตึก” มากที่สุด คือการเสียแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวตของ ไมค์ ไทสัน ที่พลาดท่าให้กับนักชกโนเนมอย่าง บัสเตอร์ ดักลาส ในปี 1990 ชีวิตของไทสัน เราต่างก็รู้ว่าหลังจากนั้นเขาต้องประสบพบเจออะไรบ้าง? แต่ดักลาส ที่ถูกเปรียบเทียบกับสามล้อถูกหวย ที่ชนะไฟต์เดียวได้เข็มขัดแชมป์เฮฟวี่เวต
4 เส้นจนใส่ท่วมตัวล่ะ ต้องเจออะไรบ้างกับวันที่ชื่อเสียงถาโถมภายในชั่วข้ามคืน?การคว่ำไทสันที่ไม่มีใครคาดคิด ไฟต์ประวัติศาสตร์วงการมวยโลกระหว่าง ไมค์ ไทสัน กับ บัสเตอร์ ดักลาส นั้นต้องย้อนกลับไปในปี 1990 ไฟต์ดังกล่าวเป็นไฟต์ป้องกันแชมป์โลกเฮฟวี่เวต 4 สถาบันของ “ไอออน ไมค์” ยอดฝีมืออันดับ
1 ที่ใครๆก็ไม่กล้าปฏิเสธเรื่องฝีไม้ลายมือและพลังหมัดในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม ไทสันเป็นพวกใช้ชีวิตสุดทุกทาง เขามีทัศนคติของแชมเปี้ยนก็จริง แต่มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ในวันที่เขาได้เป็นแชมป์โลกกวาดเข็มขัดเส้นใหญ่ครบทุกเส้น เขาก็เกิดการผ่อนคันเร่งขึ้นมา เพราะไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาตื่นเต้นได้อีก
ซึ่งเพราะเหตุนี้เอง ไทสันจึงเริ่มหาความสุขนอกสังเวียนด้วยการใช้เงินที่เขาหามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่หมดไปกับของสิ้นเปลืองและ “ผู้หญิง” จุดนี้เองที่ทำให้ก่อนจะเดินขึ้นสังเวียนชกที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ไทสันและดักลาส คิดคนละแบบ คาดหวังกันคนละขั้ว ไทสันมาที่นี่เพื่อชกให้ครบ
ตามโปรแกรมที่โปรโมเตอร์อย่าง ดอน คิง กำหนดให้ ชกมวยรองบ่อนให้คว่ำ ป้องกันแชมป์ โกยเงิน และกลับไปเสวยสุขต่อ ส่วนดักลาสนั้นมาด้วยความหวังที่สูงลิบเกินกว่าใครจะคาดคะเนได้ แม้จะเป็นมวยบันได แต่บันไดขั้นนี้สู้แค่ตายตั้งแต่รู้ว่าจะได้ขึ้นชกไฟต์สำคัญที่สุดในชีวิต และแรงจูงใจที่ส่งผลมากที่สุดคือ
การจากไปของ ลูล่า ดักลาส แม่ผู้เลี้ยงเขามาคนเดียวและปลูกฝังให้เขารู้จักสู้คนและเอาชีวิตรอดในสังคมที่เกิดขึ้นก่อนไฟต์นี้เพียง 3 สัปดาห์ “แม่อายุ 46 ผมอายุ 29 มันยากนะที่จะยอมรับและหาทางไปต่อกับชีวิต แต่ในทางเดียวกัน มันทำให้ผมกลายเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าเหมือนกัน.. เชื่อไหม ผมไม่
เคยสงสัยในตัวเองเลยหลังจากนั้น ผมมั่นใจในทุกการฝึกซ้อม ผมนับวันรอที่จะได้ชกกับไมค์ ผมกลัวอย่างเดียวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บจนไฟต์ต้องเลื่อนไป ผมกระสับกระส่ายเฝ้ารอให้ถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน” ดักลาส กล่าว เมื่อความประมาทถึงขีดสุด ปะทะ ความมุ่งมั่นถึงขีดสุด ต่อให้เป็นมวยที่ห่างชั้น
สุดท้ายปาฎิหาริย์ก็เกิดขึ้นได้ ดักลาสสามารถเอาชนะไทสันด้วยการน็อคเอาต์ในยกที่ 10 เขาส่ง “มฤตยูดำ” ลงไปนอนสิ้นสภาพ ตาลอย แขนขาง่อยเปลี้ย.. นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่หลายคนคิดว่าจะได้เห็นในไฟต์นั้นเลยทีเดียว รับมือกับชื่อเสียง ไม่มีการเปิดเผยค่าตัวชัดเจนนัก แต่หลายสำนักยืนยันว่า ณ ศึกพลิกล็อกสุด
ขอบโลกนั้น บัสเตอร์ ดักลาส ที่เป็นผู้ชนะได้ค่าตัวน้อยกว่าไทสันที่เป็นผู้แพ้ถึง 5 เท่า.. นั่นแสดงถึงความเป็นที่นิยมของแฟนๆทั่วโลกเป็นอย่างดี แม้ดักลาสจะเอาชนะได้ แต่การจะเป็นไอค่อนได้ แค่ชนะไฟต์เดียวนั้นไม่มีทางพอ เขาต้องโหดต่อเนื่อง และมีสไตล์ที่ใครเห็นก็จำได้ ยกตัวอย่างให้ง่ายที่สุดก็อย่างไทสัน
ที่ทั้งเร็วทั้งหนัก ใช้เวลาไม่กี่ยกก็ปิดเกมได้ง่ายๆเสมอๆนั่นเอง หลังจากจบไฟต์นั้น ดักลาสถือว่าดังเป็นพลุแตก การนั่งเครื่องบินกลับจากโตเกียวมุ่งหน้าสู่โคลัมบัส รัฐโอไฮโอ บ้านเกิดของเขาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้งนี้แตกต่างจากที่เคย ชาวเมืองต่างแห่มารับดักลาสในฐานะฮีโร่ ชนิดที่ว่าเขาเองก็ยังคิดไม่
ถึงว่าตนเองจะได้รับการต้อนรับของคนเป็นร้อยเป็นพันขนาดนี้ และนั่นคือจุดแรกที่ทำให้เขาเข้าใจ “ราคา” และ “ผลลัพธ์” ที่เอาชนะไทสันได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่จากนี้วิถีชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไป ทั้งในฐานะนักชกแชมป์โลกหรือคนธรรมดาคนหนึ่ง อย่างแรกเลย เขาต้องเข้าใจก่อนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ยินดีกับ
ชัยชนะของเขา โดยเฉพาะกลุ่มโปรโมเตอร์ที่มองว่าแชมป์ของไทสันไม่ควรตกไปอยู่ในมือของดักลาส ที่พวกเขาต่างฟันธงว่าชนะได้เพราะองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ใช่ฝีมืออย่างเดียว แต่ดวงก็ช่วยเขาเยอะอยู่ ณ เวลานั้นเกิดคำวิจารณ์มากมายว่า ดักลาสไม่คู่ควร และไม่เก่งจริง ทั้งๆที่เขาเป็นคนแรกในโลกที่น็อคไท
สันได้ก็ตาม “อ็อคตาวิโอ เมย์แรน (กรรมการ) ในวันนั้นทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ก่อนที่ไทสันจะโดนน็อค เขาสามารถทำดักลาสร่วงกับพื้น (ในยก 8) และแน่นอนว่ามันกินระยะเวลาเกิน 10 วินาที แต่เขากลับนับแค่ 8 เท่านั้น” ดอน คิง กล่าวอ้าง ณ เวลานั้นการถกเถียงเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน ดอน คิง และ ไทสัน เชื่อว่าคณะ
กรรมการควรทบทวนการตัดสินใหม่และโมฆะไฟต์ดังกล่าวไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ดักลาสกลายเป็นสามล้อถูกหวยอย่างเป็นทางการ (ในมุมมองของ ดอน คิง และ ไทสัน) เข็มขัด 4 เส้นทั้งจาก WBA, WBC, IBF และ Lineal กลายเป็นของดักลาสอย่างเป็นทางการ “ผมไม่อยากจะอ้างอะไรนะ ยินดีกับแชมป์
ใหม่ด้วย แต่ถ้าให้ผมได้เจอเขาอีกครั้งล่ะก็ ผมจะดูแลเขาอย่างดีเลยจะบอกให้” ไทสันว่าเอาไว้กับ นิวยอร์ค ไทมส์ ขณะที่ดักลาสก็ยอมรับว่าเขาต้องออกสื่อกับประเด็นดังกล่าวมากขึ้นแบบที่ไม่เคยเจอ “ดอน คิง อาฆาตและพยาบาทผมอย่างหนัก ผมถูกรังควานและกล่าวถึงในแง่ลบในทุกที่ที่ผมไป มันทำให้ผมรู้สึกไม่
ค่อยดีเท่าไหร่และไม่ค่อยมีความสุขในช่วงเวลานั้น” ดักลาสกล่าวถึงการรับมือกับสื่อและผู้ยิ่งใหญ่ในวงการเป็นครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายที่เสียแชมป์และทุกอย่างที่ทำมาตลอดหลายปีอย่างไทสันพยายามทุกทาง ทั้งการใช้สื่อและแรงหนุนจากแฟนบอยของเขาช่วยผลักดัน เพื่อให้เขาได้กลับมาท้าชิงแชมป์ และชก
กับดักลาสในแบบรีแมตช์ให้เร็วที่สุดเพื่อกลับมาครองเข็มขัดสี่เส้นที่เจ้าตัวเชื่อว่าคู่ควร ไทสันก็เดินเกมแบบคนใจร้อนตามสไตล์ แต่ ดอน คิง นี่สิ เล่ห์เหลี่ยมของโปรโมเตอร์หัวฟูนั้นเหนือชั้นอย่างที่ใครคาดไม่ถึง อย่างที่กล่าวไปข้างต้น กว่าดักลาสจะถูกเรียกว่าแชมป์โลก 4 สถาบันอย่างเป็นทางการ เขาต้องสู้คดีและ
ขึ้นศาลจากการกล่าวอ้างของ ดอน คิง อยู่หลายเดือน และนั่นทำให้ดักลาสเหมือนกับเจอทุกขลาภ มีแชมป์ แต่ชีวิตกลับวุ่นวายมากขึ้น เรื่องนี้ ดอน คิง แสบสุดๆ เพราะนอกจากจะเล่นงานดักลาสด้วยการขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งเขาเป็นฝ่ายเชี่ยวชาญกว่ามากแล้ว เขายังวางแผนไม่ให้ไทสัน รีแมตช์กับดักลาสทันที เพราะเขา
มองไปไกลกว่านั้น ณ เวลานั้น ไทสันก็เหลวแหลกกับชีวิตนอกสนามพอสมควร และมี อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของรุ่นแทน ดังนั้น การจะให้ไทสันมาปราบดักลาสที่ยังไงก็ง่ายดายปานขนมกรุบนั้น ดอน คิง เชื่อว่ามันยังไม่อิมแพ็คต์พอ เขาเลือกที่จะให้ไทสันต่อยเรียกกระแสไปพลางๆกับมวยบันไดอย่าง
เฮนรี่ ทิลแมน, โดโนแวน รัดด็อก และ อเล็กซ์ สจ๊วร์ต ส่วนดักลาสนั้น ดอน คิง สนับสนุนและวางตัว อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ให้เป็นคนมาเก็บงานและเอาเข็มขัดแชมป์กลับมา เพราะเดิมทีไฟต์ระหว่าง ไทสัน กับ ดักลาส นั้นถูกวางเอาไว้ให้ไทสันชนะเพื่อไปป้องกันแชมป์โลกกับโฮลีฟิลด์ในไฟต์ต่อไป แต่ดักลาสดันมาทำ
แผนพังเสียก่อน ดังนั้น สิ่งที่ ดอน คิง อ่านไว้คือยังไงโฮลีฟิลด์ก็ต้องชนะดักลาสอยู่แล้ว.. ดังนั้น หากโฮลีฟิลด์ชกกับไทสันโดยมีเข็มขัดแชมป์เฮฟวี่เวตเป็นเดิมพัน อย่างไรเสีย รายได้ทั้งค่าตัว, ทั้งการขายลิขสิทธิ์, โฆษณา และทุกๆด้าน ก็จะมากกว่าการที่ไทสันต่อยกับมวยเบอร์รองอย่างดักลาสอยู่แล้ว นอกจากนี้
การจะให้ไทสันขึ้นชกรีแมตช์กับดักลาสนั้น เชื่อว่าฝั่งไทสันจะต้องจ่ายเงินค่าตัวอะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เพราะถือว่าเป็นการตัดหน้าโฮลีฟิลด์ที่รอจะเจอกับดักลาสตามที่วางไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามเงื่อนไขเดิมและทำเงินเพิ่มขึ้นในการเจอกันครั้งใหม่ดีกว่า รออีกหน่อยแต่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
และได้ค่าตัวเพิ่มอีกเยอะ นั่นคือสิ่งที่ผ่านการวางแผนและคิดแบบโปรโมเตอร์อย่าง ดอน คิง ที่ต้องยอมรับว่า “ร้ายจริงๆ” (อย่างไรก็ตาม กว่าที่ไทสันและโฮลีฟิลด์จะได้เจอกันจริงๆ ก็ต้องรอไปถึง 6 ปี จนได้ฟากปากกันครั้งแรกในปี 1996 เลยทีเดียว) มองจากมุมนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะมองข้ามหัวดักลาสไปกันหมด
นั่นคือความเจ็บปวดของแชมป์โลก 4 สถาบัน จริงอยู่ที่เขาควรจะภูมิใจจากชัยชนะนั้น ทว่าแท้ที่จริงแล้วแชมป์ดังกล่าวกลายเป็นเหมือนการฝากเลี้ยงไว้กับเขาก่อน เพราะมีการวางตัวแชมป์ที่คู่ควรไว้แล้ว.. นั่นคือสิ่งที่ตัวของดักลาสรู้สึกว่ายากจะรับได้ “การชนะไทสันคือความฝันสูงสุดของชีวิต ผมกลายเป็นแชมป์เมื่อมี
คนประกาศชื่อผมในฐานะผู้ชนะ แต่สำหรับไทสันแล้ว ผมเป็นแค่ทางผ่านเพื่อให้เขาได้ชกกับชิงแชมป์โลกกับโฮลีฟิลด์เท่านั้นแหละ” ดักลาสยอมรับโดยดี คืนเขาไป.. หลังจากคว่ำ ไมค์ ไทสัน ที่โตเกียว มีการประกาศว่า ดักลาสจะได้ชกป้องกันแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในอีก 6 เดือนให้หลัง ซึ่งมันก็เหมือนกับหวยล็อก
ผู้ท้าชิงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์.. 1 ในนักชกที่ถูกวางตัวให้เป็นแชมป์ที่แท้จริงในสายตาของกลุ่มคนวงใน ปกติแล้ว นักชกแชมป์โลกจะได้ชกป้องกันแชมป์กับมวยบันไดก่อนสัก 2-3 ไฟต์ แต่สำหรับดักลาสไม่ใช่แบบนั้น เขาอิ่มเอมกับชัยชนะเหนือไทสันได้ไม่ทันไร เขาก็ต้องเจอกับนักมวย
อย่างโฮลีฟิลด์ทันที แน่นอนว่าโอกาสเกิดปาฏิหาริย์เหมือนไฟต์กับไทสันนั้นพอมี แต่คุณก็รู้ว่าถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยๆ มันก็คงไม่ถูกเรียกว่าปาฏิหาริย์หรอก ในไฟต์นั้น สตีฟ วายน์ เจ้าของโรงแรมมิราจ โฮเต็ล แอนด์ คาสิโน ที่ลาส เวกัส รับหน้าเสื่อเป็นผู้จัดงาน ซึ่งไฟต์นี้นี่เองที่กลายเป็นประวัติศาสตร์การขายลิขสิทธิ์
ถ่ายทอดสดครั้งใหญ่ของวงการมวยโลก วายน์ใช้คอนเน็คชั่นทั้งหมดที่มีทั้งผ่านสถานีโทรทัศน์ Showtime และ HBO รวมถึงการวางโปรดักชั่นถ่ายทอดสดใหญ่โต แม้ไม่มีตัวเลขเปิดเผยการขายลิขสิทธิ์ Pay Per View ว่าได้เงินเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ มันก็ต้องมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแน่นอน ไฟต์ดังกล่าว
เงินค่าตัวถูกวางกองไว้ในทีแรกที่ 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า โฮลีฟิลด์ที่เป็นมวยขายได้ค่าตัวแค่ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น ส่วนอีก 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯถูกมอบให้กับ ดักลาส.. ไม่ต้องบอกก็รู้ นี่คือเงินที่เยอะที่สุดในชีวิตที่ดักลาสเคยทำได้ และจากตัวเลขนี้ หากเราเอามาวิเคราะห์ดูก็จะรู้
ได้ว่าทำไมเขาจึงไม่ป้องกันแชมป์กับมวยบันไดหรือมวยรองบ่อนให้เสียเวลา? ในเมื่อมีเงิน 24 ล้านอยู่ตรงหน้า การคว้าเอาไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่สมควรทำ แม้จะต้องเสียแชมป์ทันทีแต่จะถามว่าคุ้มหรือไม่? แน่นอนที่สุดเลยว่ามันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม การชกเป็นไปตามที่ใครคาดไว้ หนนี้ไม่มีพลิกล็อกซ้ำสอง คาสิโนที่เวกัสก
วาดกำไรอื้อซ่าเพราะมีหลายคนแทงราคาฝั่งดักลาสที่เคยพลิกนรกในไฟต์กับไทสันมาแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เป็นเหมือนกันล่อแมงเม่าให้บินเข้ากองไฟตามแทงดักลาสซ้ำสองนั่นเอง โฮลีฟิลด์ใช้ระยะเวลาไม่กี่อึดใจ เพียง 3 ยกเท่านั้น เขาน็อคดักลาส.. แม้โฮลีฟิลด์จะคว้าแชมป์ได้ตามคาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าศึกนี้ง่าย
เกินคาด เพราะดักลาสไม่ได้อยู่ในฟอร์มเหมือนกับตอนที่ชกกับไทสันเมื่อ 8 เดือนก่อนเลย ทำใจยอมรับมัน คนเสียแชมป์โลกที่เป็นเหมือนฝันสูงสุดของชีวิตตนเองนั้นจะต้องรู้สึกอย่างไร? ผิดหวัง เศร้าโศก เสียใจ นั่นคือสิ่งที่ใครหลายคนคิด แต่สำหรับดักลาส เขากลับรู้สึกไปอีกอย่างแบบที่ไม่น่ามีใครนึกถึง
“จะเรียกว่าความรู้สึกแบบไหนดีล่ะ? ผมบอกว่ามันเป็นความโล่งใจก็แล้วกัน ที่สุดผมได้รู้เสียทีว่า เรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้นกับผมมันจะจบลงอย่างไร” ไม่เสียใจแต่กลับสบายใจ นั่นคือสิ่งที่ดักลาสเป็น มีหลายคนคิดว่าไฟต์ระหว่าง ดักลาสกับโฮลีฟิลด์ ถูกจัดขึ้นเร็วเกินไป ยิ่งช่วงเวลานั้น ดักลาสต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกับ ดอน คิง
ไหนจะต้องรับมือกับสื่อ ซึ่งสุดท้ายแล้ว เขารับมือไม่ไหว และมันทำให้เขาเชื่อว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้โฮลีฟิลด์เอาชนะเขาแบบง่ายดายเพียงเวลาแค่ไม่ถึง 3 ยก.. “คุณรู้ไหม ผมสามารถทำอะไรๆให้มันแตกต่างไปจากนี้ได้ (ได้ผลการแข่งขันที่ดีขึ้น) แต่จะทำอย่างนั้นได้ ผมต้องเตรียมตัวให้ดี มีเวลาให้มากๆ ซึ่งความ
เป็นจริงคือผมไม่เหลือเวลาอะไรเลย การสู้คดีในศาลเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก ผมต้องเดินทางไปขึ้นศาลที่โน่นทีที่นี่ที ผมยอมรับว่าผมขี้เกียจและเบื่อสุดๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผมรู้สึกว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการวางหมากที่ทำให้ผมไม่มีเวลาได้เตรียมตัวก่อนขึ้นชก” นั่นคือสิ่งที่ดักลาสคิด สิ่งที่ต้องคิดคำนึงสำหรับดักลาส
หลังจากไฟต์กับโฮลีฟิลด์ คือเขาอายุ 30 ปีแล้ว มีเวลาอีกไม่มากนักในเวทีระดับสูง การที่เขาได้ค่าตัวระดับ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จัดว่าเป็นไฟต์ที่เจ็บแต่จบขนาดแท้ เพราะหลังจากแพ้โฮลีฟิลด์ เขาก็ชกมวยไปอีก 4 ปี แต่ไม่มีไฮไลต์อะไรให้น่าจดจำ ไม่ได้ต่อยกับมวยแม่เหล็กเหมือนที่เคย ที่สำคัญคือเขาต้องเลิก
ชกไปเพราะถูกตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวาน สาเหตุก็เพราะว่าเขาเริ่มไม่ดูแลร่างกาย และปล่อยให้มีน้ำหนักตัวมากถึง 400 ปอนด์ หรือเกือบๆ 180 กิโลกรัมเลยทีเดียว หากมองโลกให้โหดร้ายหน่อย เราอาจจะพอมองได้ว่า ดักลาสไร้แต้มต่อจนไม่ต้องกลายเป็นเบี้ยให้กับเหล่านักมวยแม่เหล็ก ทั้งที่ความจริงเขาควรมี
สิทธิ์เลือกชกเลือกป้องกันแชมป์ให้ได้นานกว่าและสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองมากกว่านี้ หรือจะสรุปให้พอเข้าใจคือ เขาไม่ได้ในสิ่งที่เขาควรจะได้ เพียงเพราะเขาไม่ใช่นักมวยชื่อดัง แต่หากจะมองโลกในแง่ดี เราเองก็จะพบว่าสิ่งที่ดักลาสได้ทำนั้นดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ณ เวลานั้นแล้ว.. เกือบๆ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
จากการชกแค่ 2 ไฟต์ และการกลายเป็นประวัติศาสตร์ไฟต์พลิกล็อกระดับโลกก็ถือว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยๆ เงินก้อนใหญ่ก้อนนั้นก็ทำให้เขาใช้รักษาตัวจากโรคเบาหวานจนหายขาด กลับมาสร้างโรงยิมเพื่อถ่ายทอดวิชาให้กับคนอื่นๆ ซึ่งเป็นอาชีพที่เขากำลังมีความสุขในเวลานี้ “สิ่งสำคัญที่แท้จริงของชีวิต คือการดูแล
สุขภาพให้แข็งแรงทั้งของตัวเองและคนในครอบครัว ในตอนเลิกชกมวยใหม่ๆ ผมปล่อยให้ตัวเองซึมเศร้าและหดหู่ จนกระทั่งชีวิตจริงมาเคาะประตูบ้านนั่นแหละ ผมจึงได้เดินกลับมาสู้กับเกมชีวิตอีกครั้ง” บัสเตอร์ ดักลาส กล่าว ใครจะมองว่าเขาเป็นสามล้อถูกหวย แต่สุดท้ายสามล้อคนนี้ก็ถูกหวยเบอร์ใหญ่มากพอ และมีสติมากพอที่จะใช้รางวัลที่ได้รับมาอย่างคุ้มค่า และอย่างน้อยก็มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต และชีวิตในปัจจุบัน
คลิกเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://www.projectunifyoregon.com/